วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ความแตกดับแห่งวิศวกรรมทางการปกครอง


โลกใบนี้เต็มไปด้วยหมู่สัตว์ ไม่ว่าจะเป็น นก หนู ปู ปีก และมนุษย์ก็ยังชื่อว่าเป็นสัตว์ ที่สำคัญยิ่งกว่าสัตว์หรือไม่ ให้พิจารณาดู(หากผู้ใดฝึกจิต ย่อมรู้ได้) เนื่องจากเต็มไปด้วย อวิชา(ความไม่รู้) โลภ โกรธ หลง สัตว์กินอิ่มก็จบ แต่มนุษย์ยังไม่จบ เป็นต้นว่ายังกั๊ก กัก เก็บ กอบ โกย โกง โก้ โก๋ โก แอนด์กิ๊ก(กิ๊ก หมายถึง หญิงหรือชายที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้บำบัดความใคร่เป็นการชั่วคราวของผู้นั้น) และที่สำคัญใจไม่เคยอิ่มเลย อยาก อยากได้ทั้งหมด ทั้งอาณาจักร และนอกอาณาจักร(ตัวนิดเดียว อยากเป็นเจ้าโลก ไม่เบา) 


มนุษย์ที่อยู่ในรัฐหรือในอาณาจักรก็คือผู้หนึ่งที่เป็นตกเป็นเหยื่อ เป็นพลังงานหรือเป็นวัตถุดิบหรือเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยในการผลิตหรือในการขับเคลื่อนของผู้นำ กลุ่มของผู้นำ หรือพรรค หรือหน่วยที่มีอำนาจหรืออิทธิพลทางการเมือง ระบบการเมือง(หมู่มนุษย์ที่อยู่ร่วมกัน)ต่างๆ หรือผู้นำ หรือกลุ่มผู้นำ หรือพรรคในประเทศต่างๆ ต่างพยายามรักษาสถานภาพ บทบาท หรืออำนาจของตนหรือพวกพ้องไว้ให้นานที่สุด ผู้ใดต่อต้าน ผู้นั้นถูกทำลาย สังหาร แตกดับลงไป แต่เมื่อการติดต่อสื่อสารเจริญขึ้น(การเคลื่อนไหลทางวัฒนธรรม ตั้งแต่ระบบความคิด ความเชื่อ วัตถุ เทคโนโลยี) มนุษย์ในรัฐหนึ่งจะเกิดกระบวนการเรียนรู้มากขึ้น และเริ่มมีการเปรียบเทียบพลเมืองในรัฐต่างๆ จนระบบการเมืองหรือโครงสร้างทางสังคมเก่าต้องถูกปรับเปลี่ยนไปจากเดิม เป็นธรรมดาของความไม่เที่ยง ไม่มีผู้ใดหรือเหล่า หรือพวกหรือหน่วยใดสามารถสร้างอาณาจักรหรือประเทศหรือชุมชนได้เพียงคนเดียว พวกเดียว หรือหน่วยเดียว 


ส่วนประกอบต่างๆทุกส่วนเป็นเหตุเป็นปัจจัยหรือสายเหตุปัจจัยเกื้อกูลกันและกันสร้างมา หรือใช้ร่วมกันหรือประกอบร่วมกันสร้างขึ้นมา สิ่งต่างๆจะอยู่ลำพังเพียงตนเดียวมิได้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็แตกดับ หรือไม่เที่ยงหรือ เป็นไตรลักษณ์ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้นเอง การแย่งชิงอำนาจ โค่นล้ม ไล่ล่า สังหาร วายวอด เผา ต้องมีต่อไปเนื่องด้วยโลกใบนี้เต็มไปหมู่สัตว์(มนุษย์ก็เป็นสัตว์ประเภทหนึ่ง)อยู่กันเพียงตัว ตน คนละแวบไม่ควรจะมายึดมั่นถือมั่น หรือมั่นหมายเป็นตัวเป็นตน เมื่อมีชีวิตอยู่กันคนละแวบ(คำว่า แวบ ในที่นี้หมายถึงอายุมนุษย์เมื่อเทียบกับระยะเวลายุคหิน ยุคโลหะ หรือการเกิดชุมชนทางการเมือง หรือโลกหรือสิ่งมีชีวิตหรือจักรวาล อวกาศ หรือการเกิดดับของจิตในแต่ละครั้งที่ปรุงแต่ง หรือภพ ชาติ ชรา มรณะ)   


จงอย่าเบียดเบียน ทำลายล้างสังหารกัน การจัดหรือกำหนดโครงสร้างทางสังคมภายในรัฐต้องได้ดุลยภาพไม่เอาเปรียบกัน หรือแตกต่างกัน หรือขาดดุลยภาพหรือการแบ่งปั่นและกระจายสิ่งที่มีคุณค่าทางสังคมอย่างเป็นธรรม(คำว่า สิ่งที่มีคุณค่าทางสังคมนั้นหมายถึง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือตามทัศนะของนักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันชื่อลาสแวล คืออำนาจ ความศรัทธา ความยุติธรรม ความนิยมชื่นชอบ ความกินดีอยู่ดี ความมั่งคั่ง ความรอบรู้ และทักษะ) 


ใครๆก็อยากเป็นใหญ่ เป็นผู้จัดการ เป็นนายพล เป็นนายจ้าง เป็น สส.,สว. เป็นต้น  เป็นครั้งเดียว วาระเดียวได้ไหม มีเมียเป็นนางฟ้า มีคนเดียวได้ไหม แบ่งกันบ้าง ความแตกดับจะได้ผ่อนคลายและช้าลง(จองเวร แย่งชิง)  ความเป็นธรรมไม่มี หรือมีน้อย หรือไม่ได้ดุลยภาพจะปรองดองกันได้ อย่างไร  ถึงปรองดองได้ เดี๋ยวก็จองเวรอีก หมายถึง ระบบการเมืองต่างๆ จะแปรเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย ณ เวลาหนึ่งๆ ช่วงขาขึ้นสุดคือสามัคคีกันหรือปรองดองหรือมั่นคง มั่งคั่ง มันมัน และเมื่อเวลาผ่านไป ณ อีกเวลาหนึ่งต้องทำลายล้างกันหรือไม่สามัคคีหรือไม่ปรองดอง หรือไม่อาณาจักรอื่นก็เข้ามาทำลายล้างสังหารกลืนกินเอาไปหรือแตกดับลงหรือไม่ก็ครอบงำทางระบบความเชื่อ ลัทธิ อุดมการณ์หรือในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม) 


ถึงอย่างไรก็ตามสุดท้าย ทั้งหมดต้องแตกดับ ไม่มีผู้ใด หรือตัว หรือตนใดเหลืออยู่ได้เลย ชีวิตยุง แมลงหรือแมงเม่า เราดูว่าน้อย ชีวิตมนุษย์ก็เหมือนกันสั้น ชีวิตในอาณาจักรก็เช่นกันไม่ผิดอะไรกับกลุ่มแมงเม่าที่มาแล่นไฟ อย่าคิดว่ายาวนาน ตายเมื่อใดก็ไม่รู้ อยู่กันไปก็ช่วยเหลือกันไป พักหนึ่งต่างก็แยกย้ายกันแตกดับลงไปทั้งนั้น 


จงเอาความตายเป็นอารมณ์กรรมฐานแล้วจะรู้ว่าของจริงคืออะไร ไม่มีประโยชน์อะไรที่ผูกเวร จองเวร หรือมั่นหมายในสิ่งใดๆ ใจจะคลายลง คลายลง จนวางเฉย เมื่อผลรวมของการวางเฉยสะสมขึ้นเรื่อยๆ ใจหรือจิตก็ว่างลง ดั่งองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ ว่า ความว่าง(จิตว่าง)เสมอด้วยปัญญาไม่ แสดงว่า จะมีปัญญาได้ต้องประกอบด้วยทาน ศีลภาวนา (บ่มอินทรีย์ให้แก่กล้าให้กระทบหนักๆหรือทำให้จิตเจ็บ) หรือต้องมี ศีล สมาธิ(สมาธิคือการไหว้พระ,ตักบาตร,สวดมนต์,เดินจงกรม,เกาะลมเข้าออก,นั่งเกาะลม,นั่งสมาธิ และหรือบริกรรมว่า พุท-โธ,ยุบ-ไม่ยุบ,พอง-ไม่พอง,สัมมา-อะระหัง หรือถ้อยคำใดๆ เช่น น้อง-แนน,น้อง-ต่าย  เป็นต้น) 


ปัญญา หรือ มรรค ๘ จึงจะดำเนินไปถึงจิตว่าง ได้นั้นเอง จึงชอบเป็นที่สุดแห่งสัจจะที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสว่า โลกนี้เป็นสิ่งว่าง เป็นไตรลักษณ์ มันมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา หาใช่เป็นตัวอันเองที่เป็นอิสระไม่ หรือมันเป็นสิ่งที่มีเหตุปัจจัยสร้างมา และเมื่อเกิดแล้วก็ไม่สามารถบังคับบัญชา กำหนด จัดการ ควบคุมและกำกับ ได้ หรือไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่คน สัตว์ เรา เขา เป็นเพียงสภาพธรรมะ หรือปรากฏการณ์หนึ่งของธรรมชาติ หรือในจักรวาลนี้ 


ที่สำคัญดังว่าไว้ จงจำไว้ว่า อาณาจักรหรือประเทศหรือรัฐก็ คือกลุ่มแมงเม่าที่มาเล่นไฟแล้วก็แตกดับลงไป หรือจงมองดูตนเองว่า อายุเท่าใดแล้ว จะแตกดับลงตอนไหนเอย หรือเมื่ออยากได้วัตถุธาตุใด เช่น รถ บ้าน เมีย ผัว ลูก ทรัพย์ หรือยศ ตำแหน่ง อำนาจ ก็ครองหรือใช้ได้สักเท่าใด มีประโยชน์ มีโทษเพียงใด หรือ จงมองยาวๆ ยาวๆ ยาวๆ แล้วจะเข้าใจธรรมะ มันเป็นปัจจัตตัง แล้วจะรู้ว่าทุกข์เกิดขึ้นกับเราทุกขณะ ทุกขณะ เพียงขยับก็ทุกข์แล้ว ต้องให้ขยับไกลจากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่ใช่ไหมถึงจะรู้สึก 


แน่จริง ตักแกงอย่ามีช้อนแกงซิ ซื้อทีวีอย่ามีรีโมทซิ ขับรถจักรยานซิ ขับรถด้วยความเร็ว ๖๐ กม./ชม.ซิ เด็ดใบกะเพราอย่ารูดซิ ลองน้ำใส่ตุ้มจงรอซิ  เห็นไหมใจท่านมันดิ้น ร่านรน ปรารถนา อยาก หรือทุกข์นั้นเอง หรือใจท่านเพียงคิด เทียบ อยาก วิตก วิจารณ์ สงสัย ฟุ้งซ่าน รำคาญ ก็ทุกข์แล้ว ทั้งหมดทุกข์ ทุกข์ทั้งหมด แต่ไม่รู้ว่าทุกข์ จงอยู่กันไปเรื่อยๆ 


 ผู้ใดมีตำแหน่งหน้าที่อะไรก็ทำไป ไม่ต้องไปมั่นหมายอะไร มันได้มันได้ของมันเอง มันจะแปรปรวน มันก็เกิดของมันเอง ไม่ต้องไปใช้วิ่งเต้น ใช้เงิน เป็นเด็กใครหรือคอกใคร จงกำหนดรู้ตัวทั่วพร้อม(สติ)อยู่กับปัจจุบัน แล้วรอวันแตกดับ แตกดับทั้งหมด ไม่มีประเทศ ไม่มีอาณาจักร หรือไม่มีใคร หรือวัตถุธาตุใดเหลืออยู่เลยในโลกใบนี้เลย 


จงใช้ปัญญาพิจารณาดู ปัญญาขั้นแรก คือตัวสัญญาที่เราไปเรียนรู้มาในห้องเรียน ในมหาวิทยาลัย หรือเป็นปัญญาในระดับสุตามยปัญญาและจินตามยปัญญา ซึ่งหาใช่ปัญญาที่เลิศหรูไม่ ดั่งคนยุคใหม่ ส่วนใหญ่ใฝ่ฝัน มั่นหมาย หากจะให้เจ๋งต้องเป็นภาวนามยปัญญาที่เกิดจากการรู้เห็นตามความเป็นจริงที่มีตัววิญญาณรับรู้โดยตรง เป็นต้นว่า ต้องแก่ชรา ทำงานหนัก เหน็ดเหนื่อย ปวดฟัน ปวดท้อง ปวดกาย ปวดใจ ดำเนินธุรกิจเจ๊งไม่รู้กี่หน มีผัว มีเมีย หรือมีแฟนก็ถูกทิ้งหรือไม่สมหมายไม่รู้กี่ครั้ง หรืออินทรีย์ถูกบ่มอย่างหนักๆ ถูกกระทบหนักๆ หรือซาดิสม์ หรือต้องทำให้จิตเจ็บมากๆ หรือจงมีสติและความเพียร หรือ อาตาปี สัมปะชาโน สติมา วิเนยยะ โลเก อภิชฌาโทมะนัสสัง หรือ จงเป็นผู้มีสติ(รู้ตัว รู้ใจ สามารถควบคุมอารมณ์ได้)อยู่เสมอหรือโดยตลอด จะทำให้เป็นผู้ตื่นอยู่ในโลก 

ไม่น่ามีมนุษย์เลย เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ถูกกำหนดให้ร่าย รำ ไปในท่าต่างๆ ถูกปลูกฝังด้วยระบบความเชื่อ ความคิด ทัศนะ อุดมการณ์ ค่านิยม วัฒนธรรม ประเพณี  หรือแบบแผนที่แต่ละอาณาจักรกำหนดขึ้นมา แล้วก็แตกดับลง หรือแยกย้ายกันไปแล้วไม่รู้ว่าจะพบกันเมื่อใดอีก ไม่ควรใหญ่ หรือเก่ง นักเลย     ธรรมดา ธรรมดา ทุกอย่างเป็นธรรมดา ธรรมดา เก่งกันหรือเกิน ไม่มีใครไม่เก่งเลย ท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่ เก่ง เราขอเป็น หมาแมว หรือไส้เดือนและกิ้งกือ (สัตว์ภาคพื้นดิน)ดีกว่า